ถอดรหัสมหากาพย์การเมืองไทย : จาตุรนต์ ฉายแสง
ดาวน์โหลด PDF 14 pages 109 Kb : ถอดรหัสมหากาพย์การเมืองไทย mod
Open Office Writer 14 pages 47.6 Kb ถอดรหัสมหากาพย์การเมืองไทย mod
และสามารถคลิกที่ ชื่อ หรือ วันที่ไต้ชื่อ Chaturon Chaisang ไปยังหน้าต้นฉบับของ Facebook สำหรับแต่ละตอนได้
February 11
ถอดรหัสมหากาพย์การเมือง : สิ่งที่ชนชั้นนำ– อำมาตย์ต้องการจะเกิดขึ้นได้มีเพียงทางเดียวคือต้องรัฐประหาร
ร่วมกันรักษาและเดินหน้าสร้างประชาธิปไตย
ตอน 5
ความจริงก็มีเรื่องที่จะถอดรหัสต่อว่า จากนี้ไปบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร หากเราต้องการรักษาประชาธิปไตย หรือทำให้บ้านเมืองนี้เป็นประชาธิปไตยจริงๆ เราจะต้องทำอะไรกัน แต่ในระหว่างนี้พัฒนาการของสถานการณ์มีแนวโน้มที่จะยืดเยื้อต่อไปอีกนาน
ตอนนี้คงต้องเท้าความสักเล็กน้อยก่อนที่จะถอดรหัสกันต่อไป
เป้าหมายที่แท้จริงของการเสนอให้ “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” ก็คือการเปลี่ยนระบอบการปกครองไปสู่ระบอบที่ชนชั้นนำและอำมาตย์สามารถกำหนดได้อย่างแน่ชัดว่าจะให้ใครเป็นรัฐบาล รวมทั้งกำหนดได้ด้วยว่าจะให้รัฐบาลหนึ่งๆอยู่ในอำนาจนานเท่าใด ในระบอบการปกครองแบบนี้ การเลือกตั้งจะไม่มีความหมาย เพราะประชาชนจะไม่สามารถเลือกรัฐบาลได้อีกต่อไป
แต่จะก้าวไปสู่จุดนั้นได้ก็มีแต่ต้องฉีกรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน หรือทำรัฐประหารเสียก่อนเท่านั้น
ผมได้วาดภาพไว้ว่า หากมีการฉีกรัฐธรรมนูญหรือเกิดรัฐประหารขึ้นมาจริงๆ สิ่งที่จะตามมาอาจเป็นสิ่งที่ชนชั้นนำและอำมาตย์ไม่พึงปรารถนาเลย แต่ดูเหมือนพวกเขายังคงดำรงจุดมุ่งหมายอย่างแน่วแน่เอาเสียจริงๆ
มีความพยายามที่จะให้เลื่อนการเลือกตั้งออกไปเพื่อจะได้มีเวลาจัดการกับรัฐบาล และดำเนินการต่างๆให้เป็นไปตามที่วางแผนกันเอาไว้ได้มากยิ่งขึ้น แต่เมื่อเสียงเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งตามกำหนดดังขึ้นๆ การเลือกตั้งจึงได้เกิดขึ้นในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ตามกำหนด
แต่การเลือกตั้งก็ยังไม่แล้วเสร็จ และไม่มีทีท่าหรือวี่แววว่าจะสำเร็จลุล่วงไปได้ในเร็วๆนี้แต่อย่างใด
กกต.บอกว่าอาจใช้เวลา 4 – 6 เดือนหรือตลอดไป โดยอธิบายให้เห็นได้ง่ายๆว่าถ้าการนับคะแนนยังไม่เสร็จแม้เพียงหน่วยเดียว จำนวนที่นั่งในระบบบัญชีรายชื่อก็ไม่อาจคำนวณเพื่อแบ่งกันได้ที่นั่ง และการประชุมสภาก็ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้น
ถ้าสุเทพกับพวกยังเคลื่อนไหวขัดขวางการเลือกตั้งและกระทำผิดกฎหมายกันได้อย่างเสรีอย่างที่ทำอยู่ในปัจจุบันนี้ อย่าว่าแต่หน่วยเดียวเลย เป็นพันๆหน่วยพวกเขาก็สามารถขัดขวางไม่ให้มีการลงคะแนนหรือนับคะแนนได้เรื่อยไป นี่ยังไม่นับความพยายามที่จะให้มีการตัดสินให้การเลือกตั้งที่ผ่านมาเป็นโมฆะอีกด้วย
ช่วงเวลาที่ยังไม่มีสภาใหม่ ไม่มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง จึงมีแนวโน้มว่าจะยาวนานมาก มากเกินพอสำหรับการที่องค์กรต่างๆและตุลาการภิวัฒน์จะจัดการกับรัฐบาลและนักการเมืองฝ่ายรัฐบาล
แต่ก็อย่างที่ผมได้เคยวิเคราะห์ไว้แล้วว่าตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ แม้จะจัดการอย่างไรก็ยังไม่อาจทำให้เกิดสภาพสุญญากาศทางการเมืองจนสามารถใช้มาตรา 7 ตั้งรัฐบาลคนกลางหรือคนนอกขึ้นมาได้ จะมีสภาประชาชนเพื่อปฏิรูปก่อนการเลือกตั้งก็ยังทำไม่ได้อยู่ดี
เมื่อเป็นดังนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่มีคนกลุ่มหนึ่งไปวางแผนยึดอำนาจรัฏฐาธิปัตย์โดยเสนอให้มีการรัฐประหารกันอยู่อย่างเปิดเผย ไม่อายชาวโลกเลยแม้แต่น้อย
ในขณะเดียวกันสุเทพกับพวกก็ยังเคลื่อนไหวสร้างความเดือดร้อนเสียหายแก่บ้านเมืองต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อน
ยิ่งมีกรณีความเดือดร้อนของชาวนาเข้ามา และรัฐบาลยังไม่สามารถแก้ปัญหาให้ชาวนาได้อย่างทันท่วงทีด้วยแล้ว สุเทพกับพวกก็ยิ่งสบโอกาสใช้เป็นเงื่อนไขในการทำลายความชอบธรรมของรัฐบาลให้หนักข้อเข้าไปอีก
ความขัดแย้งทางการเมืองก็ยิ่งตึงเครียดขึ้น แต่ก็ไม่มีแนวโน้มว่าจะเผด็จศึกกันไปได้ในเร็ววันนี้ ความเสียหายทางเศรษฐกิจและสังคมนับวันก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเป็นทวีคูณ
สถานการณ์การเมืองของประเทศเรามาอยู่บนทางสองแพร่ง ทางหนึ่งคือ
การทำให้สุเทพกับพวกและชนชั้นนำล้มเลิกความตั้งใจของพวกเขา แล้วกลับมายอมรับกระบวนการตัดสินปัญหาความแตกต่างทางการเมืองโดยอาศัยการเลือกตั้ง เดินหน้าไปหาทางปฏิรูปร่วมกันโดยกระบวนการที่เป็นประชาธิปไตย แล้วก็ยุบสภาให้มีการเลือกตั้งกันใหม่ เพื่อให้ได้รัฐบาลที่เป็นที่ยอมรับของประชาชนมาบริหารประเทศต่อไป
หรืออีกทางหนึ่งคือ
ชนชั้นนำและอำมาตย์ดำรงจุดมุ่งหมายของตนต่อไปจนนำไปสู่ความขัดแย้งและความรุนแรง เกิดการฉีกรัฐธรรมนูญ รัฐประหาร และยิ่งกลายเป็นความขัดแย้งและความรุนแรงไม่สิ้นสุด
ต้องยอมรับว่าเมื่อพิจารณาจากความเป็นจริงของสังคมไทยในขณะนี้ อย่างหลังมีความเป็นไปได้มากกว่าอย่างแรกเป็นอันมาก
สังคมไทยเรามีประสบการณ์ผ่านความขัดแย้งและความรุนแรงมาแล้วไม่น้อย ยิ่งประสบการณ์ผ่านการรัฐประหารมาแล้วยิ่งมาก
แต่สภาพที่สังคมไทยจะต้องเผชิญนับแต่นี้ไปอีกยาวนานอันเนื่องมาจากความไม่เป็นประชาธิปไตยและไม่ยึดหลักนิติธรรมก็คือ สภาพที่บ้านเมืองไม่มีขื่อไม่มีแป เพราะกฎหมายไม่เป็นกฎหมาย การบังคับใช้กฎหมายไม่เป็นธรรม เกิดการเลือกปฏิบัติและสองมาตรฐาน
เมื่อไม่มีการรักษากฎหมายและไม่มีความยุติธรรม ผู้คนก็ไม่หวังพึ่งกฎหมาย แต่ต้องพึ่งตนเองหรือจัดการแก้ปัญหาต่างๆด้วยกำลังของตนเอง จะเกิดการใส่ร้ายป้ายสีเป็นไปอย่างเสรี การใช้เหตุผลน้อยลง เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เกิดการยุยงให้เกลียดชัง โกรธแค้นกันจนถึงขั้นห้ำหั่นทำลายล้างกันโดยไม่ฟังเหตุฟังผลและไม่คำนึงถึงกฎหมายบ้านเมือง เกิดความขัดแย้ง ความรุนแรง และสูญเสียมากกว่าช่วงเวลาใดๆในอดีตที่ผ่านมา
แล้วเราจะทำอย่างไรกัน
ในการตอบคำถามนี้ ผมคิดว่าเราพอจะแบ่งเรื่องที่ต้องคิด ออกได้เป็น 3 ส่วน คือ
1.สิ่งที่ต้องทำเฉพาะหน้านี้ คือการรักษาประชาธิปไตย
2.ระยะต่อไป เมื่อสูญเสียประชาธิปไตยไป คือการต่อสู้เพื่อให้ได้ประชาธิปไตยกลับคืนมา และ
3.ระยะยาว คือการสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริงให้เกิดขึ้น
สิ่งที่ต้องทำเฉพาะหน้านี้ก็คือการรักษาประชาธิปไตย เบื้องต้นที่สุดก็คือไม่ยินยอม หรือไม่สมรู้ร่วมคิดกับการฉีกรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสภาวะสุญญากาศทางการเมืองด้วยการกดดันหรือบีบบังคับให้นายกฯและรัฐมนตรีทั้งคณะลาออก การตั้งรัฐบาลคนกลางหรือคนนอก การตั้งสภาประชาชน หรือการปฏิรูปประเทศก่อนเลือกตั้ง
ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องช่วยกันสร้างความเข้าใจให้คนส่วนใหญ่ในสังคมให้เห็นปัญหาใหญ่หลวงที่กำลังจะเกิดขึ้นและร่วมกันแก้ปัญหา ด้วยการปฏิเสธข้อเสนอที่ขัดกับหลักการประชาธิปไตยนี้ และร่วมกันเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหันกลับมาหาทางออกด้วยกระบวนการและวิธีการที่เป็นประชาธิปไตย โดยเริ่มจากการยอมรับการเลือกตั้ง ยืนยันหลักการประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม ยืนยันว่าเราต้องการสังคมที่เจริญก้าวหน้าและสงบสุข ไม่ใช่สังคมที่ล้าหลังและมีแต่ความรุนแรงและความสูญเสียไม่จบไม่สิ้น
แม้ว่าความพยายามนี้อาจจะไม่สามารถหยุดยั้งการกระทำของสุเทพกับพวกได้ แต่การทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจปัญหามากเท่าใด ก็จะยิ่งเป็นประโยชน์สำหรับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต่อเนื่องไปข้างหน้า
ส่งเสริมให้มีการรักษากฎหมายหรือบังคับใช้กฎหมายมากขึ้น เพื่อควบคุมและจำกัดการกระทำที่ผิดกฎหมายของสุเทพกับพวก ลดความเดือดร้อนเสียหายที่เกิดขึ้นกับประชาชน และเพื่อไม่ให้บ้านเมืองอยู่ในสภาพที่บริหารปกครองไม่ได้ ทั้งนี้ต้องพยายามหลีกเลี่ยงความรุนแรงและความสูญเสียให้ดีที่สุด
ระมัดระวังเงื่อนไข ป้องกัน และเตรียมต้านการรัฐประหาร การใช้ความอดทน อดกลั้น การหลีกเลี่ยงความรุนแรง เป็นการลดเงื่อนไขของการรัฐประหารได้อย่างหนึ่ง แต่ต้องช่วยกันชี้ให้สังคม โดยเฉพาะชนชั้นนำเห็นว่า การรัฐประหารไม่ใช่ทางออก แต่จะยิ่งนำความเสียหายมาสู่ประเทศชาติ และโดยเฉพาะชนชั้นนำเอง การรัฐประหารจะถูกปฏิเสธจากประชาคมโลก และที่สำคัญจะถูกต่อต้านจากประชาชนไทยเองอย่างกว้างขวาง และอาจจะรุนแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
หากมีการรัฐประหารเกิดขึ้น การต่อต้านคัดค้านคงจะเกิดขึ้นในทันที ไม่มีระยะฟักตัวหรือก่อตัว เพราะประชาชนได้สะสมความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์มามากมายตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา
การห้ามไม่ให้มีการต่อต้านการรัฐประหารจะยากกว่าการที่จะพยายามให้มีการต่อต้านการรัฐประหารเสียอีก
แต่จะต้านการรัฐประหารกันอย่างไรจึงจะทำให้การพยายามทำรัฐประหารนั้นล้มเหลวกลายเป็นกบฏ หรือถ้ารัฐประหารสำเร็จ จะทำให้ได้ประชาธิปไตยกลับคืนมาโดยเร็วและได้ประชาธิปไตยจริงๆได้อย่างไร นี่เป็นสิ่งที่ต้องเตรียมการกันตั้งแต่บัดนี้แล้ว
ต้องร่วมกัประกาศจุดยืนที่ไม่ยอมรับฐานะรัฏฐาธิปัตย์ของกลุ่มรัฐประหาร เนื่องจากได้อำนาจมาโดยมิชอบ และรณรงค์ให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าร่วมกันต่อต้านคณะกบฏในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ รวมทั้งแข็งขืน การเป็นปฏิปักษ์ การบ่อนเซาะ และการทำลายการใช้อำนาจของฝ่ายกบฎ เพื่อนำระบอบประชาธิปไตยกลับคืนมาสู่ประชาชน ผู้เป็นเจ้าของอำนาจรัฏฐาธิปัตย์อย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สภาพความขัดแย้งในสังคมไทยระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายที่ไม่ต้องการประชาธิปไตย ซึ่งยังมีกำลังก้ำกึ่งกันคงจะดำรงอยู่ไปอีกนาน การรักษาประชาธิปไตยในกรอบกติกาที่มีอยู่ในปัจจุบันก็ทำได้อย่างจำกัด ในระยะเฉพาะหน้านี้ฝ่ายประชาธิปไตยกำลังถูกขีดวงให้สู้ในเกมที่ถูกกำหนดโดยอีกฝ่ายหนึ่งเสียเป็นส่วนใหญ่
ผมจึงคิดว่าการรักษาประชาธิปไตยและป้องกันการรัฐประหารภายใต้กรอบกติกาที่มีอยู่ในปัจจุบันคงไม่เพียงพอเสียแล้ว สถานการณ์อย่างนี้มีความจำเป็นต้องคิดและวางแผนทำสิ่งที่คู่ขนานไปกับการรักษาประชาธิปไตย นั่นคือ การสร้างประชาธิปไตย การทำให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง โดยไม่จำกัดตัวเองอยู่กับการแก้ปัญหาภายใต้กรอบกติกาที่อีกฝ่ายเป็นผู้กำหนด
ฝ่ายประชาธิปไตยต้องชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่ชนชั้นนำกำลังทำอยู่นี้มีต้นทุนมหาศาล คือเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจและสังคม ภาวะอนาธิปไตย ความล้าหลัง และที่สำคัญที่สุดคือความเสื่อมทรามของระบบการปกครอง รวมทั้งสถานะ ความมั่นคง และความน่าเชื่อถือของชนชั้นนำเอง
การเดินไปข้างหน้าตามทิศทางที่ชนชั้นนำกำลังกำหนดจึงไม่มีอนาคตแต่อย่างใดเลย
สิ่งที่ควรทำคือ การสร้างความเข้มแข็งของพลังประชาธิปไตย แสวงหาความร่วมมืออย่างกว้างขวาง ร่วมกันคิดหาทางออกให้กับสังคมไทย วางแผนสร้างกฎกติกาที่เป็นประชาธิปไตยให้เกิดขึ้น ด้วยกระบวนการที่เป็นประชาธิปไตย ใช้ระบบกติกาที่เป็นประชาธิปไตยและเป็นไปตามหลักนิติธรรมนั้นไปสร้างสังคมที่สงบสุข ผู้คนที่แตกต่างกันในทางการเมืองสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ และร่วมกันสร้างสังคมที่เจริญก้าวหน้า
การเตรียมการเพื่อสร้างประชาธิปไตยนี้ไม่ต้องรอให้การยื้อกันเพื่อรักษาประชาธิปไตยในรอบนี้จบไปเสียก่อน หรือรอให้มีการรัฐประหารเกิดขึ้นเสียก่อนจึงค่อยมาคิดอ่านกัน แต่ควรเริ่มได้เลยในทันที
พลังประชาธิปไตยมีมากมายมหาศาล พรั่งพร้อมด้วยความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ ที่สำคัญคือเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณ ศรัทธา และความเชื่อมั่น
การต่อสู้เพื่อรักษาประชาธิปไตยในเกมที่ฝ่ายชนชั้นนำกำหนดและเป็นผู้ตัดสินแพ้ชนะ แม้จะพยายามทำกันเต็มความสามารถแล้วก็ยังทำอะไรได้อย่างจำกัด ประชาชนจึงจำเป็นต้องเป็นฝ่ายกำหนดเกมของการต่อสู้ขึ้น ซึ่งจะพบว่าประชาชนก็ยังมีกำลังสติปัญญาและมีพลังอีกมากมายเพียงพอที่จะมาร่วมกันคิดถึงการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในวิถีทางและวิธีการที่ประชาชนเราจะเป็นผู้กำหนดกันขึ้น
การไม่จำกัดตัวเองอยู่ในเกมที่ถูกอีกฝ่ายเป็นผู้กำหนด ย่อมเป็นการต่อสู้ที่ไม่มีขีดจำกัด และสามารถขยายตัวเติบโตไปได้อย่างต่อเนื่อง จนสามารถร่วมกันสร้างประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นได้
มหากาพย์การเมืองไทยในทศวรรษสองทศวรรษนี้เป็นเรื่องยืดเยื้อ เต็มไปด้วยปัญหา ความขัดแย้ง และความสูญเสีย แต่ขณะเดียวกันก็มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการพัฒนาเปลี่ยนแปลงในทางที่ก้าวหน้าดีงามได้เหมือนกัน บทสรุปสุดท้ายจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศนี้
อยากให้บทสรุปสุดท้ายของมหากาพย์การเมืองในทางความเป็นจริงเป็นอย่างไร ต้องเริ่มคิดและลงมือทำกันตั้งแต่บัดนี้ครับ
Chaturon Chaisang · 55,481 like this
January 7 at 12:20am ·
ถอดรหัสมหากาพย์การเมืองไทย: สิ่งที่ชนชั้นนำ– อำมาตย์ต้องการจะเกิดขึ้นได้มีเพียงทางเดียวคือต้องรัฐประหาร
แต่ปัญหาคือจริงๆแล้ว พวกเขาจะได้อะไร
(ตอนที่ 4)
เมื่อลำดับเหตุการณ์ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าสิ่งที่ชนชั้นนำและอำมาตย์ต้องการ จะเกิดขึ้นได้ก็มีเพียงทางเดียว คือต้องรัฐประหารเท่านั้น
ด้วยเหตุผลโดยสรุปคือ
1.การแก้รัฐธรรมนูญโดยรัฐสภาถูกปิดกั้นไปหมดแล้ว
2.การปฏิรูปประเทศที่สุเทพกับพวกเสนอมีเนื้อหาที่ล้าหลังยิ่งกว่ารัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบันนี้อีกมาก และไม่ได้เสนอให้ปฏิรูปโดยวิถีทางในระบบรัฐสภา
3.การเคลื่อนไหวของสุเทพกับพวกจงใจสร้างเงื่อนไขให้เกิดการรัฐประหารอย่างชัดเจน
4.การลงดาบขององค์กรอิสระจะทำให้รัฐบาลทรุดลง แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนขั้วได้ในทันที และไม่สามารถสร้างระบบที่มีหลักประกันว่าอำนาจจะอยู่ในมือชนชั้นนำและ อำมาตย์ได้อย่างสมบูรณ์
ถ้าสถานการณ์พัฒนาต่อไปในทิศทางที่เป็นอยู่ ก็ดูเหมือนจะหนีไม่พ้นการรัฐประหาร
เราเห็นบทบาทของผู้นำกองทัพมาแล้วในแต่ละช่วงแต่ละตอนของความขัดแย้งทางการ เมืองที่ผ่านมา ในรอบนี้บทบาทของผู้นำกองทัพก็ไม่ได้ซับซ้อนซ่อนเงื่อนอะไร
ผู้นำกองทัพเริ่มต้นด้วยบอกว่าต้องวางตัวเป็นกลาง ซึ่งก็เหมือนที่รัฐบาลสมัครและรัฐบาลสมชายเคยเจอมาแล้ว ต่อมาก็แสดงท่าทีขึงขังเหมือนกับจะไม่เอากับสุเทพกับพวกเสียแล้ว ทั้งยังประกาศด้วยว่าการรัฐประหารทำไม่ได้แล้ว เพราะจะเกิดความเสียหายตามมา แต่ต่อมาก็เปลี่ยนไปอีก คือให้ความร่วมมือกับรัฐบาลแบบจำกัดมาก จนกระทั่งในที่สุดก็บอกว่าไม่ปิดไม่เปิดประตูปฏิวัติรัฐประหาร
ล่าสุดบอกว่าไม่ยืนยันว่าจะไม่ปฏิวัติ
ประวัติศาสตร์การเมืองไทยสอนเราว่าแม้ผู้นำกองทัพจะประกาศว่าจะไม่ทำรัฐ ประหารอย่างแน่นอน หลังจากนั้นไม่นานก็กลับทำรัฐประหาร แล้วนับประสาอะไรกับเมื่อผู้นำกองทัพประกาศว่าไม่ปิดไม่เปิดประตูปฏิวัติรัฐ ประหารเล่า โอกาสที่จะเกิดรัฐประหารจะไม่ยิ่งเพิ่มขึ้นอีกมากหรือ
ถ้าจะเปรียบเทียบกับการรัฐประหารในอดีต จะพบว่าเวลานี้ก็ใกล้จะครบเงื่อนไขที่จะเกิดการรัฐประหารเข้าไปทุกทีแล้ว
เรื่องคอรัปชั่นนั้นอาจจะยกขึ้นมาได้บ้าง แต่ไม่มีน้ำหนัก เพราะองค์กรที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการคอรัปชั่นทั้งหลายก็มาจากฝ่ายตรงข้ามกับ รัฐบาลอยู่แล้ว
ส่วนเรื่องคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่มักใช้เป็นข้ออ้าง ถึงแม้ไม่มีกรณีใดที่อ้างได้อย่างเป็นจริงเป็นจัง แต่ก็มีการนำเอาเรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์มาใช้โจมตีกล่าวหาฝ่ายรัฐบาล กันอย่างหนักมาโดยตลอด
เรื่องที่น่าจะถูกใช้เป็นข้ออ้างมากที่สุดในคราวนี้ก็คือ สภาพที่กฎหมายไม่เป็นกฎหมาย บ้านเมืองอยู่ในสภาพที่ปกครองบริหารไม่ได้ เกิดความขัดแย้งรุนแรงและสูญเสียมากขึ้น จนจำเป็นที่กองทัพต้องเข้าแทรกแซง
บ้านเมืองนี้มีการใช้หลักเหตุผลที่แปลกประหลาดอยู่ว่า สำหรับรัฐบาลที่เป็นที่ยอมรับสนับสนุนของชนชั้นนำและอำมาตย์ ผู้นำกองทัพจะช่วยรัฐบาลรักษากฎหมายหรือแม้แต่ทำเกินกว่ากฎหมายจนถึงขั้น ปราบประชาชนก็ได้
แต่สำหรับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน เมื่อมีปัญหาจากการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลเกิดขึ้น ถึงแม้ว่าจะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอย่างร้ายแรงเพียงใดก็ตาม ผู้นำกองทัพก็จะ “วางตัวเป็นกลาง“
แล้วก็มีหลักเหตุผลต่อไปว่าหากมีความรุนแรงเกิดขึ้น รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะต้องรับผิดชอบ
สำหรับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง จะตกเป็นเป้านิ่ง เนื่องจากสังคมเกิดสภาพที่แยกแยะไม่ได้ระหว่างการรักษากฎหมายกับการใช้ความ รุนแรง เจ้าหน้าที่รักษากฎหมายถูกมองว่าใช้ความรุนแรงอยู่ฝ่ายเดียว และเมื่อเกิดความรุนแรงและความสูญเสียขึ้น รัฐบาลก็ต้องรับผิดชอบ
จะเห็นว่าด้วยตรรกะเหตุผลแบบนี้ การเคลื่อนไหวของสุเทพกับพวกจึงสร้างความเสียหายได้อย่างไม่มีขีดจำกัดโดย ไม่ต้องเกรงกลัวต่อกฎหมาย สร้างเงื่อนไขให้ผู้นำกองทัพอ้างเป็นเหตุในการยึดอำนาจได้มากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ปัญหาคือเมื่อรัฐประหารแล้วชนชั้นนำและอำมาตย์ก็จะไม่ได้สิ่งที่ต้องการอยู่ดี
การรัฐประหารจะไม่เป็นที่ยอมรับจากประชาคมโลก จะเกิดความเสียหายต่อประเทศอย่างรุนแรง
สิ่งที่ชนชั้นนำและอำมาตย์ต้องการนั้นคือ ระบบการปกครองที่การเลือกตั้งจะไม่มีความหมาย ประชาชนไม่มีสิทธิมีเสียงที่จะกำหนดให้ใครเป็นรัฐบาล ไม่สามารถเลือกได้ว่าอยากได้นโยบายอย่างไรในการบริหารประเทศ ที่มาและการดำรงอยู่ของรัฐบาลจะขึ้นกับชนชั้นนำและอำมาตย์ ไม่ขึ้นกับประชาชน
นี่คือระบบที่ล้าหลัง เคยใช้มาแล้วเมื่อหลายสิบปีก่อน
แล้วประชาชนไทยที่ผ่านการเรียนรู้ถึงคุณค่าของประชาธิปไตย ความหมายของการเลือกตั้ง ประโยชน์ของการแข่งขันทางการนโยบายของพรรคการเมืองจะยอมหรือ
ถ้าประชาชนจำนวนมากลุกขึ้นมาต่อต้านการรัฐประหารและระบบที่จะถูกสร้างขึ้นหลังการรัฐประหาร ผู้นำกองทัพจะปราบไหวหรือ
ปัญหาใหญ่อีกปัญหาหนึ่งที่จะตามมาคือ ชนชั้นนำและอำมาตย์รวมถึงผู้นำกองทัพจะเอาสุเทพกับพวกไปไว้ไหน และจะจัดการกับพวกนี้อย่างไร
สุเทพกับพวกได้เติบใหญ่มีอิทธิฤทธิ์จนใครก็คุมไม่อยู่แล้ว ระบบการปกครองที่จะสร้างขึ้นใหม่ รัฐบาลใหม่ที่จะตั้งกันขึ้นมา จะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ไม่ต้องถามสุเทพกับพวกบ้างหรือ แน่ใจแล้วหรือว่าจะตรงกัน
ปัญหาใหญ่ยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ หากการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นเป็นเพราะสุเทพกับพวก หรือต้องเป็นไปตามความต้องการของสุเทพกับพวก ก็จะกลายเป็นบรรทัดฐานว่าหากใครต้องการเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง ก็ให้ใช้วิธีเดียวกันกับสุเทพและพวกคือ ใช้วิธีการนอกระบบ ผิดกฎหมายอย่างร้ายแรงตามอำเภอใจ หรือใช้กำลังและความรุนแรง
เมื่อรัฐประหารแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นจะไม่ใช่สิ่งที่ชนชั้นนำและอำมาตย์ต้อง การ สังคมไทยจะอยู่ในสภาพที่ใครก็คุมไม่ได้ อยู่กันไม่เป็นสุข ขัดแย้งรุนแรงไม่สิ้นสุด ประเทศจะบอบช้ำไปอีกนาน
นี่คือสิ่งที่ชนชั้นนำ อำมาตย์ และผู้นำกองทัพต้องการให้เกิดขึ้นแน่หรือ.
ถอดรหัสมหากาพย์การเมืองไทย : สิ่งที่ชนชั้นนำ– อำมาตย์ต้องการจะเกิดขึ้นได้มีเพียงทางเดียวคือต้องรัฐประหาร
สารพัดดาบจากองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญ แต่ก็อาจไม่พอตอบโจทย์ที่ยากขึ้น
(ตอนที่ 3)
ระหว่างที่ผู้คนกำลังสนใจการเคลื่อนไหวของสุเทพกับพวกอยู่นั้น องค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญก็กำลังเตรียมลงดาบสารพัด
ดูจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ซึ่งกำลังเป็นข่าวเกรียวกราวก่อนก็ได้
ขณะที่สุเทพกับพวกขัดขวางการเลือกตั้งอย่างบ้าระห่ำ พรรคประชาธิปัตย์ก็บอยคอตการเลือกตั้งอีกครั้ง พร้อมประกาศเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับ “มวลมหาประชาชน“
ถ้าดูจากผู้เข้าร่วมการเคลื่อนไหวที่สามารถทำผิดกฎหมายได้อย่างไม่มีขีดจำกัดก็ดี หรือดูจากพื้นที่ที่มีการขัดขวางการสมัครรับเลือกตั้งอย่างรุนแรงและได้ผลก็ดี จะเห็นว่าการเคลื่อนไหวทั้งหมดก็คือ การย้ายเวทีของพรรคประชาธิปัตย์จากในรัฐสภาและระบบเลือกตั้งที่พวกตนแพ้มาตลอด ไปสู่การเคลื่อนไหวต่อสู้นอกสภาที่ต้องการนำไปสู่การล้มรัฐบาล และเปลี่ยนระบบการปกครองเพื่อให้พวกตนได้อำนาจนั่นเอง
จากการที่พรรคปชป.ได้เปิดเผยตนเองอย่างไม่ละอายครั้งใหญ่ที่สุดว่าพร้อมที่จะทำทุกอย่าง แม้แต่การทำลายประชาธิปไตยให้ย่อยยับไป เพียงเพื่อให้ได้อำนาจเท่านั้น พรรคประชาธิปัตย์จึงหมดความเป็นที่ยอมรับในสายตาชาวโลกไปเรียบร้อยแล้ว และกำลังสูญเสียความเป็นที่ยอมรับจากสังคมประชาธิปไตยในประเทศไทยยิ่งกว่าครั้งใดๆ แต่ก็ไม่น่าเชื่อที่พรรคประชาธิปัตย์กลับได้รับการให้เกียรติ ให้ความสำคัญอย่างมากจากกกต.ชุดใหม่นี้
แทนที่กกต.ซึ่งเพิ่งเข้ามารับหน้าที่กันใหม่ๆ จะพยายามหาทางให้มีการรับสมัครให้ได้อย่างจริงจัง ก็เกิดมีทีท่าว่าอยากจะให้รัฐบาลเลื่อนการเลือกตั้งออกไป อ้างว่าเลือกตั้งไปแล้วบ้านเมืองก็ไม่สงบ
เมื่อมีการขัดขวางการรับสมัครในบางจังหวัดในภาคใต้จนไม่สามารถเปิดรับสมัครได้ กกต.บอกว่าต้องมีการเจรจาหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้อง มีพรรคการเมืองส่งผู้สมัครทั้งหมด 53 พรรค แต่พรรคที่กกต.บางคนให้ความสำคัญเป็นพิเศษกลับเป็นพรรคปชป. ราวกับว่าปชป.เป็นพรรคการเมืองที่ทรงอิทธิพลเสียเหลือเกิน ใครจะทำอะไรกันต่อไป ต้องให้พรรคประชาธิปัตย์เห็นชอบด้วยเสียก่อน
ยังดีที่มีผู้คนออกมาวิพากษ์วิจารณ์บทบาทของกกต.กันมาก จนกกต.ไม่กล้าดึงดันที่จะเลื่อนวันเลือกตั้งออกไป แต่กกต.ก็ยังไม่แสดงความพยายามที่จะจัดให้มีการรับสมัครให้ครบทุกเขต ซึ่งหมายความว่าถ้ามีการเลือกตั้งทั้งๆที่ยังขาดผู้สมัครอีกหลายเขตอย่างนี้ ประกาศผลการเลือกตั้งแล้วก็ยังเปิดประชุมสภาไม่ได้
กกต.บางคนยังแสดงความไม่แน่ใจว่า การเลือกตั้งจะช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งในบ้านเมืองได้ ตราบใดที่กกต.ทั้งคณะยังไม่แสดงให้เห็นถึงความศรัทธาเชื่อถือต่อความสำคัญของการเลือกตั้งแล้ว ตราบนั้นก็ยังไม่มีหลักประกันเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับการเลือกตั้ง
กกต.จะทำอย่างไรกับการรับสมัคร และจะทำอย่างไรเมื่อมีการขัดขวางการใช้สิทธิ์ของประชาชนในวันเลือกตั้ง ยังเป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป
องค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญเคยล้มการเลือกตั้งมาแล้ว และล้มรัฐบาลในอดีตมาแล้ว คราวนี้จะทำอะไรได้แค่ไหน
เห็นข่าวว่าคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.)ใกล้จะตัดสินชี้มูลความผิดเกี่ยวกับกรณีโครงการจำนำข้าวซึ่งไม่ทราบว่าจะเกี่ยวโยงถึงใครบ้างในครม. หากชี้มูลถึงรัฐมนตรีคนใดที่ยังอยู่ในหน้าที่ รัฐมนตรีคนนั้นก็ต้องพักการปฏิบัติหน้าที่ เรื่องนี้จะกระทบรัฐบาลเพียงใดจึงยังไม่ทราบได้ แต่ที่แน่ๆคือ ไม่สามารถทำให้ครม.ทั้งคณะหยุดปฏิบัติหน้าที่ได้
ในเร็วๆนี้ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ซึ่งอาจจะวินิจฉัยออกมาว่าขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 68 อีกก็ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นผลที่ตามมาก็จะคล้ายกับกรณีที่มาสว. นั่นคือ จะมีคนไปร้องปปช. และปปช.ก็จะทำการไต่สวนและชี้มูลความผิด แล้วส่งไปให้วุฒิสภาถอดถอนสส. สว.ที่สนับสนุนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนั้นอีกรอบหนึ่ง
เรื่องที่ไม่ควรมองข้ามไปเสียทีเดียวก็คืออาจมีการใช้กรณีนี้หรือกรณีการแก้มาตรา 68 ซึ่งจะต้องมีการพิจารณาต่อไปในไม่ช้า เพื่อลงดาบยุบพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องไปเลยก็ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็จะกระทบต่อการเลือกตั้งอย่างรุนแรง
หลังจากนั้นปปช.ก็อาจจะชี้มูลสส. สว. 300 กว่าคนที่ร่วมกันแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่ามีความผิด สว.ที่ถูกชี้มูลจะถูกพักการปฏิบัติหน้าที่ จะเหลือสว.ปฏิบัติหน้าที่อยู่ต่อไปไม่ถึง 90 คน
มีการพูดกันหนาหูว่าอาจจะมีการตีความว่าในการประชุมวุฒิสภา จะไม่นับผู้ที่ถูกพักการปฏิบัติหน้าที่เป็นจำนวนสมาชิกที่เหลืออยู่ องค์ประชุมจะนับเฉพาะผู้ที่ไม่ถูกพักการปฏิบัติหน้าที่ และในการถอดถอนผู้ที่ปปช.ชี้มูลส่งมาให้ถอดถอน ก็จะใช้จำนวน 3 ใน 5 ของสมาชิกที่ไม่ถูกพักการปฏิบัติเท่านั้น
ถ้าเป็นอย่างนั้นทั้งประธาน 2 คนและสมาชิกรัฐสภาอีก 300 กว่าคนก็คงถูกถอดถอนได้โดยไม่ยาก และนั่นย่อมส่งผลกระทบต่อการเลือกตั้งอย่างรุนแรงคล้ายกันกับการยุบพรรคเพราะจะทำให้ผู้สมัครขาดคุณสมบัติไปจำนวนมาก หลายเขตเลือกตั้งอาจจะไม่เหลือผู้่สมัครอยู่เลย การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นก็จะล้มไปก่อนถึงวันเลือกตั้ง ดุลกำลังของพรรคการเมืองก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก
ที่อธิบายมานี้ไม่ใช่จินตนาการเอาเองตามใจชอบ แต่เป็นการวิเคราะห์จากสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ทั้งจากพฤติกรรม การตีความ และการบังคับใช้กฎหมายขององค์กรที่เกี่ยวข้อง แต่ที่พูดมาทั้งหมดนั้นเกี่ยวกับสิ่งที่องค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญอาจจะลงดาบนี้
มีข้อสังเกตที่ควรกล่าวถึงไว้คือ
ในการที่ปปช.พิจารณาเรื่องโครงการรับจำนำข้าวนั้น หากว่าไปตามเนื้อผ้า ไม่ฉวยโอกาสตามกระแสการเมือง ก็ต้องถือว่าเป็นการทำตามหน้าที่ สังคมคงรับได้ สิ่งที่ตามมาก็คือ ย่อมส่งผลกระทบต่อรัฐบาลและเพิ่มประเด็นให้กับสุเทพกับพวกมากขึ้นไปอีก
การที่ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระลงดาบไปบ้างแล้วก็ดี จะลงดาบอีกก็ดีนั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งจริงๆแล้วการลงดาบนี้ล้วนแล้วแต่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตั้งแต่ต้น กล่าวคือ ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งๆที่ไม่มีอำนาจ การวินิจฉัยว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญขัดรัฐธรรมนูญเพราะแตกต่างจากรัฐธรรมนูญ ก็ผิดทั้งในเรื่องตรรกะและเหตุผล การฟ้องร้องสมาชิกรัฐสภาที่อภิปรายและลงมติในสภาทั้งๆที่เขามีเอกสิทธิ์คุ้มครองตามรัฐธรรมนูญก็เท่ากับขัดรัฐธรรมนูญอีก สิ่งที่องค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญกำลังจะทำกันอยู่นี้จึงเป็นการลุแก่อำนาจ ไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรมแต่อย่างใดทั้งสิ้น
เมื่อไล่เรียงสิ่งที่องค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญจะลงดาบแล้วจะพบว่าทำให้เกิดความเสียหายต่อฝ่ายรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลได้มาก ขณะเดียวกันก็จะเพิ่มน้ำหนักให้กับสุเทพกับพวกด้วย แต่ก็จะพบว่าแม้จะลงดาบตามอำเภอใจอย่างไร ก็จะยังไม่สามารถล้มการเลือกตั้งได้ง่ายๆ ไม่สามารถทำให้เกิดรัฐบาลคนกลางหรือสภาประชาชนขึ้นได้
ไม่ว่าจะลงดาบอย่างไรก็จะยังไม่สามารถกำหนดว่าใครจะเป็นรัฐบาลได้เหมือนคราวที่ล้มรัฐบาลสมชาย แล้วให้อภิสิทธิ์ขึ้นมาเป็นรัฐบาลแทน ยิ่งขณะนี้ยุบสภาแล้วและกำลังจะมีการเลือกตั้ง แต่พรรคปชป.ไม่ได้ลงสมัคร จะจัดการกับพรรคการเมืองและนักการเมืองที่ลงสมัครอย่างไร พรรคปชป.ก็ไม่สามารถมาเป็นรัฐบาลได้
ที่สำคัญกว่านั้นคือไม่ว่าจะลงดาบอย่างไรก็ยังไม่มีหลักประกันว่าชนชั้นนำและอำมาตย์จะสามารถกำหนดได้ว่าจะให้ใครเป็นรัฐบาลตามใจชอบ
ยิ่งการลงดาบตามอำเภอใจนี้เป็นการฉวยโอกาสตามกระแสที่คำนึงแต่ถึงผลประโยชน์ทางการเมืองโดยไม่แยแสต่อหลักการประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม เมื่อทำไปแล้วการคัดค้านต่อต้านก็จะยิ่งแรง พรรคการเมืองและนักการเมืองที่ถูกทำลายไปอย่างไม่ยุติธรรมก็จะยิ่งได้รับความเห็นอกเห็นใจจากประชาชน ที่ชนชั้นนำและอำมาตย์ต้องการกำหนดว่าจะให้ใครเป็นรัฐบาลก็จะยิ่งไม่ได้ผลตามที่ต้องการ
สิ่งที่ชนชั้นนำและอำมาตย์ต้องการนั้นไม่ใช่แค่เปลี่ยนรัฐบาล แต่ต้องการเปลี่ยนระบบ ซึ่งเป็นโจทย์ที่ยากขึ้นมาก แม้องค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญจะมีอิทธิฤทธิ์มากมายเพียงใด ก็ไม่สามารถตอบสนองความต้องการทั้งหมดนั้นได้เสียแล้ว
ถ้าชนชั้นนำและอำมาตย์ยังดำรงจุดมุ่งหมายของตนจริงๆ ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่านอกจากการเคลื่อนไหวของสุเทพกับพวก และการลงดาบขององค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ยังต้องให้ใครทำอะไรไปอีก นอกจาก “ทำรัฐประหาร”
January 4
ถอดรหัสมหากาพย์การเมืองไทย : สิ่งที่ชนชั้นนำ– อำมาตย์ต้องการจะเกิดขึ้นได้มีเพียงทางเดียวคือต้องรัฐประหาร
สุเทพกับพวก ชนชั้นนำ และอำมาตย์ต้องการอะไรกันแน่
(ตอนที่ 2)
เมื่อแก้รัฐธรรมนูญไม่ได้แล้ว ใครที่สนใจอยากให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยก็คงพากันคิดว่า แย่แล้วที่จะต้องอยู่กับการปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรมเช่นนี้ไปอีกนาน
แต่สุเทพกับพวกได้ทำให้ใครที่คิดเช่นนั้นต้องสรุปใหม่ว่าคิดผิดถนัด
ยังมีแย่กว่านั้นอีกมาก
สุเทพกับพวกลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมานำการเคลื่อนไหวที่ผิดกฎหมายอย่างร้ายแรง ชนิดที่ไม่กลัวเกรงต่อกฎหมายเลยแม้แต่น้อย
ทันทีที่สุเทพกับส.ส.พรรคประชาธิปัตย์หลายคนลาออกพร้อมๆกัน มาเคลื่อนไหวบนถนน คอการเมืองก็พอจะคาดการณ์ได้แล้วว่าจะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่
หลายคนนึกถึงการที่พรรคประชาธิปัตย์เคยบอยคอตการเลือกตั้งเมื่อปี 2549 ทันที การบอยคอตครั้งนั้นเป็นเรื่องใหญ่มาก แต่ต่อมาก็พิสูจน์ให้เห็นทั่วกันว่าที่พรรคประชาธิปัตย์กล้าบอยคอตการเลือกตั้ง ก็เพราะรู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าต่อไปข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น
แล้วก็เกิดอย่างนั้นจริงๆ
ในคราวนี้ ยิ่งพอพรรคประชาธิปัตย์พร้อมใจกันลาออกจากการเป็นส.ส.ทั้งพรรค ก็ยิ่งชัดเจนว่าเรื่องใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
การเคลื่อนไหวของสุเทพกับพวกนั้น ไม่ใช่ต้องการเพียงแค่ล้มรัฐบาล แต่ยังมีข้อเสนอให้ตั้งรัฐบาลประชาชน ตั้งสภาประชาชน และให้มีการปฏิรูปประเทศด้วย
มีการเปิดเผยองค์ประกอบและที่มาของสภาประชาชน ซึ่งก็เห็นได้ชัดว่าเป็นสภาเผด็จการ ชัดๆ แล้วยังมีการเสนอว่าหลัก “หนึ่งคน หนึ่งเสียงเท่ากัน” นั้นใช้ไม่ได้สำหรับเมืองไทย ตั้งแต่ปฏิเสธระบบเลือกตั้ง และระบบพรรคการเมืองอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และเสนอให้ใช้ระบบใหม่แทน
สิ่งที่สุเทพกับพวกกำลังพยายามให้เกิดขึ้นก็คือ ระบบการปกครองที่ไม่ต้องการให้ประชาชนมีอำนาจปกครองประเทศ แต่ต้องเป็นระบบที่ชนชั้นนำและอำมาตย์มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการกำหนดว่าใครจะเป็นผู้บริหารปกครองประเทศนั่นเอง
ความจริงสิ่งที่สุเทพกับพวกต้องการให้เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่คือสิ่งที่ชนชั้นนำและอำมาตย์ต้องการให้เกิดขึ้นตั้งแต่หลังการรัฐประหารเมื่อปี 2549 แต่ยังไม่เกิดเป็นจริงขึ้น เมื่อผ่านความผันผวน พลิกไปพลิกมาของสถานการณ์ในหลายปีมานี้ ชนชั้นนำและอำมาตย์ก็คงตกผลึกทางความคิดได้แล้วว่า ถึงเวลาที่ต้องทำให้สิ่งที่ต้องการมานานแล้วเป็นจริงเสียที
แต่ปัญหามีอยู่ว่า ศาลรัฐธรรมนูญเพิ่งสรุปไปหยกๆว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้แก้ไม่ได้แล้วไม่ว่าด้วยวิธีใดๆ แล้วจะปฏิรูปประเทศอย่างที่สุเทพกับพวกเสนอได้อย่างไร
หากจะปฏิรูปประเทศ ย่อมต้องแก้กฎหมายและแก้รัฐธรรมนูญ แต่เมื่อการแก้รัฐธรรมนูญโดยรัฐสภาก็ทำไม่ได้แล้ว การจะปฏิรูปประเทศได้ก็ย่อมหนีไม่พ้นการฉีกรัฐธรรมนูญ
ยิ่งเมื่อนายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภาและให้มีการเลือกตั้งใหม่ จะแก้กฎหมายอะไรก็ทำไม่ได้แล้ว ข้อเสนอของสุเทพกับพวกที่ให้ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้งก็ยิ่งไม่อาจเป็นไปได้ตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้
วิธีการที่สุเทพกับพวกใช้อยู่คือ การเคลื่อนไหวที่ผิดกฎหมายต่างๆนานา สร้างความเสียหายแก่บ้านเมือง และบีบบังคับให้เจ้าหน้าที่ราชการต้องบังคับใช้กฎหมาย หากไม่บังคับใช้กฎหมาย ก็จะเกิดความเสียหายใหญ่หลวงและถูกตำหนิว่าไม่ทำหน้าที่ ปล่อยให้บ้านเมืองอยู่ในสภาพที่กฎหมายไม่เป็นกฎหมาย แต่ถ้าบังคับใช้กฎหมายก็จะเกิดการปะทะ กลายเป็นความรุนแรงและเกิดความสูญเสียขึ้น ทั้งหมดนี้เพื่อให้บ้านเมืองอยู่ในสภาพ “อนาธิปไตย” เป็นสภาพที่บริหารปกครองไม่ได้ หรือที่เรียกว่าเป็น “รัฐล้มเหลว” นั่นเอง
หลังจากขัดขวางการเลือกตั้งอยู่จนผู้ที่ต้องการสมัครรับเลือกตั้งในหลายจังหวัดในภาคใต้ยังไม่สามารถสมัครได้แล้ว ล่าสุดสุเทพก็ประกาศจะปิดกรุงเทพฯเป็นสัปดาห์ๆอีก
การปิดกทม.ย่อมจะทำให้สถานการณ์ยิ่งตึงเครียดขึ้นอีก จะเกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจและภาพพจน์ของประเทศอย่างประมาณมิได้ บีบให้รัฐบาลต้องบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งก็เกิดความเสี่ยงที่จะเกิดการปะทะกัน และกลายเป็นความรุนแรงสูญเสียเพิ่มขึ้น
ยิ่งรุนแรงและสูญเสียมาก ก็จะยิ่งเป็นข้ออ้างให้เกิดการรัฐประหารได้
ไม่ว่าจะเป็นความรุนแรงและความสูญเสียชีวิตและเลือดเนื้อ หรือเกิดสภาพความเป็นรัฐล้มเหลว ก็สามารถถูกใช้เป็นข้ออ้างในการทำรัฐประหารได้ทั้งสิ้น
มีความพยายามที่จะทำให้สิ่งที่สุเทพกับพวกต้องการให้เกิดขึ้นโดยกระบวนการทางรัฐธรรมนูญอยู่เหมือนกัน นั่นคือ การบีบบังคับให้นายกฯและรัฐมนตรีทั้งคณะลาออกเพื่อสร้างเงื่อนไขให้เกิดการใช้มาตรา 3 และมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญเพื่อตั้งรัฐบาลคนกลางและตั้งสภาประชาชน แต่ช่องทางนี้ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญบัญญัติให้ครม.ต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป การจะลาออกทั้งคณะย่อมเป็นการจงใจฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ การลาออกทั้งคณะจึงไม่อาจเกิดขึ้นได้
ความจริงแล้วหากไม่มีการตีความรัฐธรรมนูญกันตามใจชอบแล้ว การตั้งรัฐบาลคนกลางหรือสภาประชาชนไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญได้เลย หากมีการดันทุรังให้เกิดขึ้นจริง ก็ไม่แตกต่างจากการฉีกรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด สิ่งที่จะตามมาอย่างแน่นอนก็คือ การคัดค้านต่อต้านจากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย จนเกิดเป็นความขัดแย้งที่รุนแรงมากยิ่งขึ้นไปอีก และนั่นก็คือความเสี่ยงที่จะเกิดการรัฐประหารได้อีก
วิเคราะห์จากสิ่งที่สุเทพกับพวกเสนอและวิธีการที่พวกเขาใช้อยู่แล้ว จะเห็นว่าสิ่งที่พวกเขาต้องการจะเกิดขึ้นได้ก็มีแต่จะต้องเกิด “รัฐประหาร” เท่านั้น
January 4
ถอดรหัสมหากาพย์การเมืองไทย : สิ่งที่ชนชั้นนำ– อำมาตย์ต้องการจะเกิดขึ้นได้มีเพียงทางเดียวคือต้องรัฐประหาร
แต่ปัญหาคือ … ?
ก่อนจะมาถึงการแสดงอิทธิฤทธิ์ของสุเทพ เทือกสุบรรณ
(ตอนที่ 1)
ตั้งแต่ก่อนรัฐประหารปี 2549 มาจนถึงปัจจุบัน กระบวนการที่ชนชั้นนำและอำมาตย์ใช้จัดการกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและระบอบประชาธิปไตย อาศัยเครื่องมือหลักๆอยู่ 3 อย่างคือ (1). การเคลื่อนไหวบนถนนที่ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย และสามารถทำผิดกฎหมายได้อย่างไม่มีขีดจำกัด (2).ฝ่ายตุลาการและองค์กรอิสระ และ (3). ผู้นำกองทัพ
ในแต่ละครั้งที่มีการล้มรัฐบาลที่ผ่านๆมา พูดได้ว่ามีการใช้เครื่องมือทั้งสามชนิดนี้ เพียงแต่ในแต่ละช่วงอาจให้น้ำหนักเครื่องมือแต่ละชนิดไม่เท่ากัน
ก่อนการรัฐประหารปี 2549 มีการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯกดดันจนรัฐบาลในขณะนั้นจนต้องยุบสภาให้มีการเลือกตั้งใหม่ มีการบอยคอตการเลือกตั้ง ขัดขวางการเลือกตั้ง เมื่อการเลือกตั้งผ่านไปได้ ก็ใช้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ ต้องกำหนดวันเลือกตั้งกันใหม่ แล้วในที่สุดก็เกิดการรัฐประหารขึ้น ล้มทั้งรัฐบาลและระบอบประชาธิปไตยไปพร้อมกัน
คณะรัฐประหารได้ตั้งคณะตุลาการรัฐธรรมนูญขึ้นมาคณะหนึ่งพิจารณาตัดสินยุบพรรคไทยรักไทย ซึ่งเป็นพรรคที่ชนะการเลือกตั้งก่อนหน้านั้น ด้วยข้อหากระทำการให้ได้อำนาจการปกครองด้วยวิธีการที่ไม่เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และได้อาศัยคำสั่งของคณะรัฐประหารตัดสินให้มีผลย้อนหลังไปเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคทั้งหมด 111 คน เพื่อไม่ให้สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งต่อจากนั้นได้
คณะรัฐประหารได้ร่างรัฐธรรมนูญกันขึ้นเอง ซึ่งเป็นการวางระบบการปกครองใหม่ เพื่อให้แน่ใจว่าอำนาจอธิปไตยต้องไม่เป็นของประชาชน ชนชั้นนำและอำมาตย์จะต้องเป็นผู้กำหนดได้ว่าใครจะเป็นรัฐบาล และกำหนดได้ด้วยว่าจะให้รัฐบาลหนึ่งๆอยู่ได้นานเท่าใด
แต่ผลการเลือกตั้งกลับปรากฏว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เป็นรัฐบาลตามแผนบันได 4 ขั้นของคมช. จึงมีการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯอีก ถึงขนาดที่มีการยึดทำเนียบรัฐบาล ผู้นำกองทัพในขณะนั้นทีแรกบอกว่าเป็นกลาง ต่อมาก็ผสมโรงไปกับการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ แต่ก็ไม่สามารถล้มรัฐบาลได้ ในที่สุดจึงใช้ศาลรัฐธรรมนูญปลดนายกฯสมัครออกด้วยเรื่องที่ไร้สาระที่สุดดังที่ทราบกัน
เมื่อได้รัฐบาลนายกฯสมชายมา พันธมิตรฯก็เคลื่อนไหวต่อ คราวนี้นอกจากยึดทำเนียบแล้วยังยึดสนามบิน 2 แห่งเสียด้วย ผู้นำกองทัพก็มาในสูตรเดิมก่อน คือบอกว่าต้องวางตัวเป็นกลาง นอกจากไม่ช่วยรัฐบาลรักษากฎหมายแล้ว ยังออกมาเรียกร้องให้นายกฯยุบสภาหรือลาออก แล้วในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญก็ตัดสินยุบพรรคพลังประชาชน ทำให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์พ้นจากตำแหน่งนายกฯไปด้วย
นายกฯสมัครถูกปลดเพราะทำครัวออกทีวี ส่วนนายกฯสมชายถูกปลดเพราะกกต.เชื่อว่ามีกรรมการบริหารพรรคคนหนึ่งซื้อเสียงด้วยเงินประมาณ 20,000 บาท ถือว่าเป็นการกระทำให้ได้อำนาจการปกครองมาโดยวิธีการที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ต้องยุบพรรคและเมื่อพรรคถูกยุบ กรรมการบริหารพรรคทั้งหมด รวมทั้งนายกฯสมชาย ก็ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปี
การที่องค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญร่วมกันล้มรัฐบาลทั้งสองไปนั้น ได้ทำไปโดยขัดหลักนิติธรรมและหลักประชาธิปไตยอย่างร้ายแรง ด้วยข้ออ้างว่าเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง เพื่อให้สถานการณ์ทางการเมืองที่ตึงเครียดและวุ่นวายได้ผ่อนคลายลง
พูดอีกอย่างก็คือ ยอมทำลายระบบยุติธรรมเพื่อแลกกับการล้มรัฐบาลที่ควบคุมไม่ได้ โดยอาศัยสถานการณ์ทางการเมือง
ต่อมามีการตั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ในค่ายทหาร ประชาชนมาชุมนุมเรียกร้องให้ยุบสภา คราวนี้ผู้นำกองทัพไม่ได้บอกว่าวางตัวเป็นกลาง แล้วก็ช่วยรัฐบาลอภิสิทธิ์กระชับพื้นที่และยึดพื้นที่คืน ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ในที่สุดก็จับกุมแกนนำไปดำเนินคดีในข้อหาก่อการร้าย
มาถึงขั้นนี้ก็เท่ากับว่าชนชั้นนำและอำมาตย์ได้ใช้เครื่องมือทั้งสามชนิดจัดการจนได้รัฐบาลที่พวกตนต้องการขึ้นมาจนได้
แต่เมื่อมีการเลือกตั้งอีก พรรคประชาธิปัตย์ก็แพ้อีก พรรคเพื่อไทยได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีก ไม่เป็นไปตามความต้องการของชนชั้นนำและอำมาตย์อีกจนได้
การที่ชนชั้นนำและอำมาตย์ล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนไปได้ง่ายๆ โดยอาศัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและกลไกตามรัฐธรรมนูญนี้ จึงมีความพยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น
แต่ปรากฏว่าศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไปเสียแล้วว่าจะแก้ทั้งฉบับก็ไม่ได้ จะแก้เป็นรายมาตราก็ไม่ได้ ด้วยเหตุผลที่แปลกประหลาดที่สุด นั่นคือ การแก้รัฐธรรมนูญที่พยายามทำกันนั้นขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ เนื่องจากมีเนื้อหาที่แตกต่างจากรัฐธรรมนูญ
เท่ากับว่าศาลรัฐธรรมนูญได้ปิดประตูสำหรับการแก้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไปแล้ว และนั่นหมายความว่าการจะทำให้บ้านเมืองนี้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นโดยอาศัยรัฐสภาเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้เสียแล้ว หากรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตยฉบับนี้ออกฤทธิ์สร้างความไม่เป็นธรรมเช่นที่ผ่านมาอีก การจะหาทางแก้ปัญหาด้วยการแก้รัฐธรรมนูญย่อมเป็นไปไม่ได้
การแก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคมไทยโดยอาศัยกระบวนการในระบบรัฐสภาจึงถูกปิดกั้นไปเสียแล้ว